ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโลกออนไลน์
( Social Network )
- ข้อมูลผ่านการตรวจสอบ ความถูกต้อง หรือความเที่ยงธรรม
- วิเคราะห์ถึงข้อมูลที่มาจากเว็บไซต์ขององค์กรที่น่าเชื่อถือเพื่อลดความเสี่ยงของข้อมูล
- ทำการเปรียบเทียบ และแหล่งที่น่าเชื่อถือในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ และนึกถึงค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น - ตรวจสอบความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในข้อเท็จจริงตามหลักสถิติ หลักไวยากรณ์ การสะกดหรือการใช้ภาษา
- ตรวจสอบถึงข้อเท็จจริง และสถิติการตรวจสอบความถูกต้องโดยการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เขียนและผู้เผยแพร่รวมตรวจสอบเกี่ยวกับข้อมูลประวัติ บริษัท และเบื้องหลังของเว็บไซต์นั้นๆ
- วิเคราะห์ถึงแหล่งข้อมูลที่มีตัวตน และมีแหล่งอ้างอิงที่สามารถช่วยประเมินความถูกต้องได้
- มีการจัดลำดับของเว็บไซต์ เพื่อในการค้นหาข้อมูลได้ถูกต้อง
- ตรวจสอบว่าผู้เขียนและผู้เผยแพร่สามารถติดต่อถึงแหล่งข้อมูลได้
- ข้อมูลที่มีการระบุ รองรับ วิธีการสำหรับเทคโนโลยีเพื่อคนพิการ
- ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตจะถูกต้องแม่นยำ และมีความเป็นจริงในยุคปัจจุบันหรือไม่
- ต้องความเข้าใจถึงสิ่งที่เป็นลิขสิทธิ์และวิธีการทำงานออนไลน์อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อตัวบุคคล
หลักทางศีลธรรมจรรยา และหลักกฎหมายในโลกออนไลน์
ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนำเนื้อหา และสื่อต่างๆ อย่างถูกกฎลิขสิทธิ์
- ลิขสิทธิ์ (Copyright) หมายถึง สิทธิ์แต่เพียงเดียวทีกฎหมายรับรองให้ผู้สร้างสรรค์กระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่ตนได้ทำขึ้น อันได้แก่ สิทธิ์ที่จะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำออกโฆษณา ไม่ว่าในรูปแบบลักษณะอย่างใดหรือวิธีใด รวมทั้งอนุญาตให้ผู้อื่นงานนั้นไปใช้ด้วย สำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ถือเป็นงานที่เข้าข่ายที่มีลิขสิทธิ์ใช้
- เครื่องหมายการค้า (Trademark) ใช้สัญลักษณ์สากร TM หมายถึงเครื่องหมายที่ให้หรือจะใช้เป็นเครื่องหมายเกี่ยวกับสินค้าเพื่อแสดงสินค้าที่ใช้เครื่องหมายของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น แตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น โดยสัญลักษณ์อาจจะประกอบไปด้วย ชื่อ ข้อความ วลี สัญลักษณ์ ภาพ งานออกแบบ
- สิทธิบัตร (Patent) หมายถึง สิทธิ์พิเศษที่กฎหมายบัญญัติให้เจ้าของสิทธิบัตรมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการแสวงหาประโยชน์จากการประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสิทธิบัตรนั้น เช่นการผลิตและจำหน่าย เป็นต้น หลักการโดยชอบธรรม
- ควรได้รับการอนุญาตจากเจ้าของอย่างเป็นทางการิ เช่น การลอกเลียนแบบผลวิจัย
- รบกวนผู้อื่น เสียงดัง ท่องอินเทอร์เน็ตในขณะทำงาน
- ไม่ควรมีการว่าร้าย หมิ่นประมาท ส่อเสียดทางออนไลน์ เช่น ส่งเมลกระจายข่าวในข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง การใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์
- ควรทำการส่งอีเมล์เพื่อไปขอสิทธิ์ในการใช้ข้อมูลกับเจ้าของเสียก่อน
- ควรแสดงชื่อ และให้เกียรติผู้จัดทำที่ทำข้อมูลนั้น
- เมื่อใช้ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตควรใช้ในรูปแบบเดิม และอ้างอิงแหล่งข้อมูล
- ให้ข้อเท็จจริง และแหล่งสนับสนุนข้อมูล ข้อดีของโลกออนไลน์ที่มีต่อทางด้านสังคม
- ทางธุรกิจที่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารโดยตรงกับเจ้าของผลิตภัณฑ์และลูกค้าได้อย่างง่ายดาย
- การทำธุรกรรมค้าปลีกรับการจัดการแบบระบบหน้าร้านทางเว็บไซต์ ที่ช่วยให้การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
- ทำธุรกรรมธนาคารออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ของสถาบันการเงิน
- ประเมินผล และโต้ตอบสื่อโดยใช้อีเมล์ รวมโพสต์ข้อความ ประกาศ บนอินทราเน็ตหรือเอ็กซ์ทราเน็ต - ใช้อีเมล์ผ่านทางห้องแชท บล็อก และทางเครือข่ายเว็บไซต์ของเพื่อน และแสดงความคิดเห็นร่วมกันกับเพื่อน - บริการทางออนไลน์เพื่อให้ใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้โปรแกรมการประชุมผ่านเว็บอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความเป็นไปในทางใดทางหนึ่งขององค์กร
- การควบคุมการจราจรทางอากาศด้วยคอมพิวเตอร์ และระบบนำทางด้วยระบบ Global Positioning System (GPS)
- บริการหลักสูตรออนไลน์ที่ใช้เทคโนโลยีเว็บเพื่อเสริมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ด้วยเทคนิคมัลติมีเดีย หรือจำลอง การโต้ตอบกับกลุ่มผู้เรียนในเชิง E-Learning
- การสื่อสารโทรคมนาคมทั้งที่ที่บ้านและสื่อสารกับสำนักงานได้สะดวกและรวดเร็ว
- ระบบการรายงานการใช้ข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยคาดการณ์ หรือการจับภาพข้อมูล
- ผู้ตรวจสอบใช้เทคโนโลยี และซอฟต์แวร์เฉพาะ เช่น การตรวจสอบลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในเครื่องของพนักงาน
- การส่งข้อมูลแบบฟอร์ม และเอกสารขึ้นสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และดาวน์โหลดข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
- ช่วยในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้พิการ และช่วยเหลือให้ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นได้ง่ายขึ้น เช่น ด้านอุปกรณ์เทคโนโลยี
- แป้นพิมพ์ที่มีแป้นอักษรเบลล์ ออกแบบเพื่อคนพิการทางสายตา
- เมาส์ที่ควบคุมด้วยคันบังคับที่เท้าออกแบบเพื่อคนพิการทางร่างกาย
- การแสดงคำบรรยายใต้ภาพบนเนื้อหาวิดีโอออกแบบเพื่อคนพิการทางหู ด้านซอฟต์แวร์
- โปรแกรม JAWS การสูญเสียหรืความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในโลกออนไลน์ การรับรู้ และการป้องกันคอมพิวเตอร์จากภัยคุกคามซอฟต์แวร์ ทำความเข้าใจ และรู้จักกับไวรัส ไวรัสทั้งหมดที่เกิดขึ้น และติดในเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะเข้าสู่ระบบได้ด้วยการผ่านไฟล์ที่ใช้ร่วมกันบนเครือข่าย หรืออินเทอร์เน็ต หรืออาจเกิดจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ย้ายจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยหรือติดไปกับธัมไดร์ฟ ฮาร์ดิส โดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายต่อคอมพิวเตอร์โดยตรง แต่บางครั้ง บางชนิดจะเป็นอันตรายมากและสามารถทำลายข้อมูล หรือหากเป็นชนิดที่พบจะปรากฎมาในรูปแบบอีเมล์จากบุคคลอื่นที่ทำการส่งผ่านเครือข่ายอินเทอรืเน็จประเภทไวรัสบางประเภทก็จะมีฝังหรือแนบมากับไฟล์นั้น เมื่อเปิดสิ่งที่แนบมา จะทำให้ไวรัสที่ฝังมากับไฟล์นั้นทำการส่งสำเนาของตัวเองออกมาทำให้ไปติดหรือแพร่กระจายในลิสต์รายชื่อผู้ติดต่อในเมล เช่นการสูญเสียความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในโลกออนไลน์
1. ภัยมัลแวร์ และเทคนิควิสวกรรมสังคม (Malware with social engineering technique attack)
จัดได้ว่าเป็นภัยอันดับหนึ่งของวันนี้ เนื่องจากปัยหามัลแวร์ ประกอบด้วยปัยหาไวรัส วอร์ม และสปายแวร์ ซึ่งเกิดขึ้นทุกวันทั่วโลกจนกลายเป็นเรื่องที่คนไอทีหลายคนมองว่าเป็นเรื่อง ปกติไปแล้ว ปัญหาใหญ่คือ โปรแกรมแอนตี้ไวรัสรุ่นเก่าไม่สามารถตรวจพบสปายแวร์ได้ ทำให้ต้องใช้โปรแกรมประเภทแอนตี้สปายแวร์เพิ่มเติม ในปัจจุบันบริษัทผู้ผลิต โปรแกรมแอนตี้ไวรัสได้พยายามรวมคุณสมบัติในการปราบไวรัส วอร์ม และสปายแวร์เข้าด้วยกัน เรียนกว่า converged desktop security เพื่อให้สามารถตรวจจับมัลแวร์ได้มากขึ้น วิธีการป้องกันมัลแวร์ที่ได้ผลควรใช้โปรแกรมตรวจจับมัลแวร์มากกว่า 1 โปรแกรม เรียกเทคนิคนี้ว่า “multiple anti-Malware technique”
2. ภัยสแปมเมล (SPAM mail attack) เป็นภัยอันดับสองรองจากภัยมัลแวร์ เนื่องจากต้องติดต่อกันผ่านทางอิเล้กทรอนิกส์เมลกันเป็นประจำ จนเรียนได้ว่ากลายเป็นเรื่องปกติเหมือนกับการใช้โทรศัพท์มือถือไปแล้ว ถ้าหากไม่มีเทคโนโลยี ในการป้องกันสแปมเมลที่ดี อาจได้รับสแปมเมลถึงวันละ 50-100 ฉบับต่อวัน วึ่งทำให้ต้องเสียเวลาในการกำจัดเมลเหล่านั้น ตลอดจนสแปมเมลยังเป็นตัวการหลักในการพาโปรแกรมมัลแวร์ต่าง ๆ เข้ามาติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ของอย่างง่ายดาย ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์เมล ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องก้คือ การติดตั้งระบบป้องกันสแปมเมลที่บริเวณ E-mail gateway
3. Trojan Horse การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่แฝงไว้ในดปรแกรมที่มีประโยชน์ เมื่อถึงเวลาโปรแกรมที่ไม่ดีจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อปฎิบัติการทำลายข้อมูล วิธีนี้มักจะใช้กับการฉ้อโกงทางคอมพิวเตอร์ หรือการทำลายล้างข้อมูล หรือระบบคอมพิวเตอร์
4. หนอนอินเทอรืเน็ต (Worms) มีอันตรายต่อระบบมาก สามารถทำความเสียหายต่อระบบได้จากภายใน เหมือนกับหนอนที่กัดกินผลไม้จากภายใน หนอนร้ายเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถแพร่กระจายตัวเองจาก เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งโดยอาศัยระบบเน็ตเวิร์ค (ผ่านสาย cable) ซึ่งการแพร่กระจายสามารถทำได้ด้วยตัวของมันเองอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าไวรัสเมื่อไรก็ตามที่สั่ง Share ไฟล์ข้อมูลผ่าน Network เมื่อนั้น Worms สามารถติดต่อไปกับสายสื่อสารได้โดยไม่สามารถตรวจจับด้วยซอฟต์แวร์ตรวจจับไวรัส
5. Boot Sector เกิดจากการติดระบบเมื่ออ่านจากดิสก์สำหรับเริ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ไวรัสโหลดลงในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์
6. Program of File เกิดจากส่วนหนึ่งของไฟล์ที่ใช้เมื่อเริ่มต้นโปรแกรมและโหลดในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์
7. Macro ลักษณะคล้ายไฟล์แมโครที่ทำงานโปรแกรมเฉพาะ เช่น MS Word ทุกครั้งเมื่อมีการเริ่มใช้โปรแกรม จะเกิดค่าเริ่มต้นของแมโครติดไฟล์ที่สร้างใหม่หรือเปิดด้วยโปรแกรมนั้น
ความปลอดภัยของข้อมูล
ถือว่าเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่สำคัญในการเข้าถึงข้อมูล หากมีการป้องกันในระดับสูงจะถือว่ามีความมั่นใจต่อข้อมูล และทรัพย์สิน โดยเฉพาะการเก็บรักษาข้อมูลในเชิงอัตลักษณ์บุคคลถือว่ามีความปลอดภัยอย่างยิง เช่น การพิสูจน์ตัวตน การฉายมานตา การสแกนลายนิ้วมือ แบ่งประเภทของผู้ที่ไม่หวังดีกับความปลอดภัยข้อมูล
1. Hacker คือ บุคคลที่หวังร้ายกับองค์กรแบบไม่ตั้งเพียงแต่อาจอยากจะต้องการทดสอบถึงความรู้ที่ตนเองมี หรือส่วนใหญ่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ที่อยากรู้ระบบหรืออยากหาความรู้เพิ่มเติมจึงได้สู่ระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานหรือองค์กรแต่ไม่มีเจตนาทำให้หน่วยงานหรือองค์กรนั้นเสียหายหรือทำลายข้อมูลโดยเจตนา
2. Cracker คือ ผู้ที่แอบเข้าใช้รบกวนระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานหรือองค์กรอื่นที่อยู่ห่างใกล้ด้วยเจตนาร้ายอาจจะเข้าไปทำลายข้อมูลที่สำคัญหรือสร้างความเสียหายให้กับระบบ Network ขององค์กรอื่น หรือขโมยข้อมูลที่เป็นความลับทางธุรกิจ
การป้องกัน และอาการความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์
1. ซื้อโปรแกรมป้องกันไวรัสและติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง รวมทั้งเครื่องที่เป็นเซิร์ฟเวอร์
2. ติดค่าของคอมพิวเตอร์ให้เปิดการทำงานของ Window Firewall
3. ทำการตรวจสอบหรือสแกนคอมพิวเตอร์เพื่อหาไวรัสที่เป็นประจำ
4. หมั่นตรวจสอบวันหมดอายุ หรืออัพเดตเวอร์ซันของแอนตี้บ่อย ๆ ให้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเสมอ
5. หากมีการดาวน์โหลดไปยังโฟลเดอร์อื่นในเครื่องคอมพิวเตอร์ควรทำการสแกนไฟล์เหล่านี้ก่อนที่จะทำการเปิด
6. ข้อมูลบนเว็บไซต์จะต้องได้รับการตรวจสอบความถูกต้องจากแหล่งต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งแห่ง จึงจะมั่นใจและถือว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง (validity)
7. การใช้งานซอฟต์แวร์บางอย่างไม่ทำงาน ใช้เวลานานผิดปกติในการเรียกโปรแกรมขึ้นมาทำงานหรือไม่สามารถเปิดขึ้นควรตรวจสอบหรือลบทิ้งแล้วลงโปรแกรมใหม่
8. หากมีการติดตั้งอุปกรณ์เช่น ธัมไดร์ฟ ฮาร์ดิส ที่เสี่ยต่อการติดไวรัส ให้ทำการสแกนก่อนเสมอ
9. หากมีข้อความที่เกิดขึ้นที่หน้าจอ ควรดูข้อความที่แจ้งหรือแสดง ถ้าไม่เห็นมาก่อนไม่ควรทำการเปิดไฟล์นั้น
10. ไฟล์ข้อมูลที่เคยใช้ บังเอิญได้หายไปโดยไม่ได้ลบทิ้ง
11. หากเป็นลักษณะการส่งไฟล์แนบ ผู้รับไฟล์หรือเมลควรตรวจสอบให้ละเอียดว่าเป็นข้อความที่รู้จักเพราะอาจเสี่ยงต่อการติดสแปมเมล์
12. เปลี่ยนหรือตั้งรหัสผ่านให้ยาก และไม่ควรให้เครื่องจำรหัสผ่านไว้
13. หากคอมพิวเตอร์มีลักษณะเริ่มทำงานช้าลง หรือมีปัญหากับโปรแกรมบ่อย เช่น โปรแกรมปิดตัวเองลง หรือเครื่องคอมพิวเตอร์นับเวลาถอยหลัง ปิดตัวเอง ให้รีบทำการสำรองข้อมูลและการตรวจสอบทันที 14. คีย์บอร์ด เมาส์ ทำงานผิดปกติหรือไม่ทำงานเลย
การสร้างสภาพแวดล้อม โต๊ะทำงานที่ปลอดภัย
โรคจากการทำงาน “Office Syndrome”
กลุ่มอาการที่พบบ่อยในคนวัยทำงานออฟฟิศ ที่สภาพแวดล้อมในที่ทำงานไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงานตลอดเวลา ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดเมื่อยตามอวัยวะต่าง ๆ อาทิ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ ส่วนบางรายที่มีอาการของหมอนรองกระดูกเคลื่อนอยู่แล้ว หากทำงานในอริยาบทที่ผิดทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น
สาเหตุ และอาการของ office Syndrome
1. การนั่งไขว่ห้าง
2. การนั่งกอดอก
3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม
4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น
5. การยืนพักลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว
6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม
7. การใส่ส้นสูงเกินนิ้วครึ่ง
8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว
9. การหิ้วของกนักๆ ด้วยนิ้วบ่อยๆ
10.การขดตัว หรือนอนตัวเอียง
การป้องกันการบาดเจ็บส่วนบุคคล
- โต๊ะทำงาน แป้นพิมพ์ เมาส์ควรวางให้ได้ระยะไม่ห่าง หรือเอื้อมแขนมากเกินไป
- หน้าจอคอมพิวเตอร์ควรปรับให้สูงกว่าหน้าประมาณ 2-3 นิ้ว ของระดับสายตา
- ลดแสงจ้าหรือแสงสะท้อนบนหน้าจอ
- หากมีการพิมพ์เอกสารให้เอกสารอยู่ในระยะสายตา และหน้าจอให้มีระยะพอดีไม่ห่างหรือชิดกันเกินไป - ท่านั่ง ให้ตำแหน่งแขน ข้อมือควรตั้งให้ตรง ไม่ห่างหรือเอียง แขนชิดลำตัว ให้เท้าราบกับพื้นหรือ
- ให้เวลาในการเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อละสายตา เดินให้คลายปวดเมื่อย
- ยืดหรือขยับแขนขาบ่อยๆ หลังจากทำงานเป็นเวลานาน
- ไม่ควรใช้เวลานั่งนาน หรือใช้ท่าเดิมในการจับเมาส์นานๆ
- เก้าอี้ควรได้สมุดกับสรีร่างกายของผู้นั่ง เก้าอี้ไม่แข็งจนเกินไป
การป้องกันการปวด
- ปรับวิธีการยกของที่ถูกต้อง
- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เสี่ยงต่ออันตรายในการปฏิบัติงาน
- เลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมถูกต้อง และทุ่นแรงในการทำงาน
- อยู่ในท่าที่ถูกต้องในอิริยาบถในการทำงาน
- ฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรงสม่ำเสมอ
- กระจายน้ำหนักตัวสลับแต่ละขาบ่อยๆ แต่ไม่ลงน้ำหนักที่สะโพก
- วางขาบม้าเล็กๆ กรณียืนนานๆ
- พยายามยืนย่อเข่าเล็กน้อย อย่าเหยียดเกร็งเข่าสุด
- สวมใส่รองเท้าที่เหมาะสม หัวรองเท้าไม่แคบเกินไป ส้นไม่สูงเกินไป
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ARIT, ARTP, ส.ค.พ.ท.IC3



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น